ผมเคยเป็นทาสชั้นดีที่ระบบทุนนิยมต้องการ...
คนที่ทุ่มชีวิตทั้งชีวิตให้งาน ไม่รู้จักวันหยุด ไม่เคยได้ฉลองปีใหม่ แลกทุกอย่างเพื่องาน...
นี่คือบันทึกแห่งการทำร้ายร่างกายของผม
ผมจำคืนนั้นได้ไม่มีวันลืม
เป็นคืนที่ 5 ของการทำงานติดต่อกันแบบไม่ได้นอน แต่ละวันได้งีบแค่ 10 นาที แล้วอัดกาแฟหวาน สูบบุหรี่ กินขนม เพื่อให้ร่างกายทำงานต่อไปได้
ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณตี 3 หรือตี 4 มือยังคาคีย์บอร์ดอยู่ สมองล้าแทบไม่ไหว จู่ๆ น้ำตาก็เริ่มไหลออกมาเอง... แล้วผมก็ปล่อยโฮออกมาโดยที่หยุดไม่ได้
"ทำไมชีวิตต้องเป็นแบบนี้วะ? ทำไมไม่ได้นอนเหมือนคนอื่นเขา?"
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมตั้งคำถามกับตัวเอง หลังจากที่ใช้ชีวิตเหมือนหุ่นยนต์มาหลายปี
เริ่มจากอาการปวดหลังเรื้อรังช่วงบนตั้งแต่อายุ 30 ต้น หมอหาสาเหตุไม่เจอ สมัยนั้นยังไม่มีคำว่า office syndrome ที่จริงผมเป็นหมอนรองกระดูกคอเสื่อมไปแล้วโดยไม่รู้ตัว
แต่ละวันผมสูบมาโบโร่ไลท์วันละ 2 ซอง บางคืนที่ทำงานหนัก บุหรี่หมดตอนเที่ยงคืน ต้องเก็บก้นบุหรี่มาสูบ ถ้าไม่มีบุหรี่ ผมจะทำงานต่อไม่ได้ เหมือนเครื่องจักรที่ขาดน้ำมัน
ความดันก็สูงขึ้นเรื่อยๆ เบาหวานน่าจะมาด้วย เพราะผมแทบไม่เคยดื่มน้ำเปล่า มีแต่น้ำอัดลม กาแฟ และของหวาน
แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือสภาพจิตใจ การอดนอนทำให้ประสาทเริ่มหลอน บางครั้งผมได้กลิ่นไหม้แปลกๆ ที่ไม่มีอยู่จริง สมองทำงานติดต่อกันนานเกินไป คอมพิวเตอร์ที่ผมต้องใช้งานมันทั้งวันทั้งคืน แฮงค์จนต้อง restart แต่ผม... ไม่มีปุ่ม restart
ความดันสูง 140-150 ตั้งแต่อายุ 30 หมอนรองกระดูกเสื่อมก่อนวัยอันควร แน่นอนว่าเบาหวานก็คงมา เพราะในชีวิตประจำวัน ผมแทบไม่เคยดื่มน้ำเปล่า มีแต่กาแฟ น้ำอัดลม และขนมหวานที่กินเพื่อให้มีแรงทำงานต่อ และผมไม่ออกกำลังกายเลยแบบ 100%
ผมเป็นภูมิแพ้จมูกขั้นหนัก นำ้มูกไหลไม่หยุด หนักสุดคือรูจมูกตันทั้ง 2 ข้าง หายใจไม่ออกและรู้สึกกลัวตาย
ผมคำนวณดูแล้วว่า ถ้ายังใช้ชีวิตแบบนี้ อายุ 40 ผมคงไม่รอด
ผมไม่เคยปล่อยให้ตัวเองได้หยุดพัก ไม่เคยได้ออกไปเที่ยวต่างจังหวัด ไม่รู้จักวันหยุดสุดสัปดาห์ ไม่เคยฉลองวันสงกรานต์หรือปีใหม่เหมือนคนอื่นๆ
ครั้งเดียวที่ผมได้หยุดทำงานแบบจริงจังก็คือตอนที่พ่อผมป่วยหนักและต้องจากผมไป
ผมสร้างผลกำไรมากมายให้กับลูกค้า (ยกเว้นบริษัทของตัวเอง)
ยิ่งผลงานดี ยิ่งต้องทำงานหนักขึ้น หยุดไม่ได้ ต้องเร่งเครื่องให้แรงขึ้นไปอีก เพราะ "งานคือเงิน" และระบบต้องการฟันเฟืองที่หมุนไม่หยุด
ระบบทุนนิยมมันเตะผมไปมาเหมือนลูกฟุตบอล โดยที่ผมไม่มีความสามารถควบคุมชีวิตตัวเองได้เลย
มันชอบคนแบบผมมาก และมันไม่ต้องการให้ผมคิดได้ ไม่ต้องการให้ผมหาทางออก เพราะค่าจ้างที่มันให้ผมน้อยนิด เมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมทำให้มัน... การแลกด้วยชีวิตและสุขภาพ
มันต้องการให้เกิดคนแบบผมให้มากที่สุด เราจึงถูกหล่อหลอมในระบบการศึกษาที่บล็อกความคิด มีแค่คำตอบถูกกับผิด ทุกคนต้องคิดเหมือนกัน ระบบจึงจะควบคุมได้ง่าย
ตลกร้ายคือการที่ผมเติบโตมาจากเด็กที่อ่านหนังสือของ Maxim Gorky นักเขียนที่เสียดสีระบบทุนนิยม แต่กลับกลายเป็นทาสที่สมบูรณ์แบบของระบบนั้นเสียเอง
เมื่อมองย้อนกลับไป ก่อนหน้่านี้ผมยังนึกไม่ออกว่าอะไรคือจุดพลิกที่ทำให้ผมรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้
จนขณะที่นั่งเขียนบันทึกนี้แหละ ผมถึงได้อ๋อ...
ธรรมะ นั่นเองที่ช่วยชีวิตผมไว้ครับ
จริงๆ แล้วผมอ่านหนังสือธรรมะมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่เคยนำมาใช้กับตัวเองเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง... ธรรมะก็เข้ามาในชีวิตผมอีกครั้ง
ผมเริ่มหัดสวดมนต์ใหม่ หัดทำบุญใหม่ และกลับมาฟังธรรมอีกครั้ง
การเปลี่ยนแปลงค่อยๆ เกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย...
ผมเริ่มจากการเลิกบุหรี่ได้สำเร็จ แบบหักดิบ! แม้ต้องแลกมาด้วยการติดชาเขียวและขนมหวานแทน น้ำหนักขึ้นหลายสิบกิโล
แล้วจู่ๆ ผมก็ตัดสินใจเลิกกินเนื้อสัตว์ หันมาเป็นมังสวิรัติ และค่อยๆ พัฒนาไปสู่การกินแบบวีแกน และเลิกกินน้ำตาล
ผมเริ่มหัดวิ่ง... จากคนที่ไม่เคยออกกำลังกายมาเกือบ 20 ปี
ผมเริ่มถ่ายรูป ออกไปเที่ยวที่อื่นบ้าง
และเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิคคือ... ผมเริ่มหยุดงาน!
การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียว มันค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างช้าๆ เป็นเวลาหลายปี แต่ทุกการเปลี่ยนแปลงล้วนพาผมออกห่างจากกับดักเดิมๆ ทีละก้าว
ผมเริ่มใช้ชีวิตแบบ "0 บาท" เลิกข้องเกี่ยวกับเงิน และนั่นกลับทำให้ผมรู้สึกเบาสบายอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน
ผมค้นพบว่า เงินไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของชีวิต ตอนที่ผมเริ่มจากรายได้หลักพัน จนวันที่ได้จับเงินที่มากขึ้น แต่ทำไมความทุกข์กลับสาหัสสากรรจ์เท่าเดิม
ถ้าเงินช่วยเราได้จริง เราต้องทุกข์น้อยลงสิ?
มองย้อนกลับไป ผมพบว่าการเปลี่ยนแปลงของผมเริ่มต้นจากการยอมรับความจริง จากการฟังเสียงของร่างกาย ความคิดมันไม่ซื่อตรงกับเราครับ แต่ร่างกายไม่เคยโกหกเรา...
สุดท้ายผมยอมรับความจริงว่าผมใช้ชีวิตผิด ชีวิตคนเรามันไม่ได้ยากขนาดนั้น และมันไม่ได้ทุกข์ขนาดนั้นครับ